Writer

WiFi 7 ก้าวใหม่ของอินเทอร์เน็ตไร้สาย สู่ความเร็ว 46 Gbps และความหน่วงที่ต่ำลง

ปฏิเสธไม่ได้ว่าความต้องการอินเทอร์เน็ตที่เร็วและแรงไม่มีวันหยุดนิ่ง จากที่เคยรู้สึกว่า WiFi 6 เร็วแล้ว กำลังจะมีมาตรฐานใหม่ที่เข้ามากระโดดข้ามขีดจำกัดเดิม ๆ นั่นคือ WiFi 7 หรือที่เรียกกันในชื่อทางเทคนิคว่า IEEE 802.11be Extremely High Throughput (EHT) นี่คือเทคโนโลยีที่ถูกออกแบบมาเพื่อแก้ไขปัญหาความแออัดของสัญญาณ การบัฟเฟอร์ และความล่าช้า ที่เป็นอุปสรรคต่อการใช้ชีวิตดิจิทัลขั้นสูง ไม่ว่าจะเป็นเกม VR, สตรีมมิง 8K หรือการทำงานผ่านคลาวด์ WiFi 7 คือคำตอบที่จะทำให้ประสบการณ์ออนไลน์ของคุณ “ราบรื่นอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน” WiFi 7 แตกต่างจากรุ่นก่อนอย่างไร ? แม้ว่า WiFi 6 จะให้ความเร็วมากขึ้นถึง 37% จาก WiFi รุ่นก่อน แต่ก็ไม่ได้มีการปรับปรุงเรื่องความเร็วในการรับส่งข้อมูลเพิ่มมากขึ้นแบบก้าวกระโดดเหมือน WiFi 5 ที่มีการพัฒนาความเร็วจากรุ่นก่อนถึง 10 เท่า ซึ่งเป้าหมายในการพัฒาเทคโนโลยี WiFi 6 นั้นเน้นเรื่องการปรับปรุงประสิทธิภาพในการใช้งานมากกว่าความเร็วในการรับส่งข้อมูล แต่สำหรับเทคโนโลยี WiFi 7 นั้น ได้มีการออกแบบเพื่อปรับปรุงการรับส่งข้อมูลที่มากขึ้น หัวใจสำคัญที่ทำให้ WiFi 7 เร็วกว่า ความเร็วระดับ 46 Gbps ไม่ได้มาจากการอัปเกรดเล็กน้อย แต่มาจากเทคโนโลยีใหม่ 4 อย่างที่เป็นเสาหลักของ WiFi 7 WiFi 7 มอบประสบการณ์อะไรให้คุณ ? WiFi 7 ไม่ได้มีดีแค่ความเร็ว แต่ยังมอบประสบการณ์การใช้งานที่เหนือกว่าในทุกมิติ ใครที่ควรพิจารณาเปลี่ยนไปใช้ WiFi 7…

0
Read More

Agentic AI (ระบบ AI ที่ทำงานอัตโนมัติเชิงรุก) มีประโยชน์ต่อการทำธุรกิจอย่างไร?

Agentic AI คือ ปัญญาประดิษฐ์ (AI) รูปแบบใหม่ ที่ได้รับการพัฒนาให้มีความสามารถมากกว่า AI แบบดั้งเดิมที่ทำหน้าที่เพียงตอบคำถามหรือรอรับคำสั่ง (Reactive) จุดเด่นของ Agentic AI คือความสามารถในการทำงานเชิงรุก (Proactive) และขับเคลื่อนด้วยเป้าหมาย (Goal-driven) โดยสามารถ คิด วิเคราะห์ วางแผน และลงมือปฏิบัติการ (Action) ได้ด้วยตนเอง อย่างเป็นอิสระ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่กำหนดไว้ ตารางการเปรียบเทียบกับ AI ประเภทอื่น กระบวนการทำงาน (Workflow) Agentic AI ทำงานเป็นวงจร (Loop) ต่อเนื่องและเรียนรู้ได้เอง โดยมีกระบวนการหลักดังนี้ คุณสมบัติและความสามารถหลัก ประโยชน์หลักต่อองค์กร (Key Benefits) บทสรุป Agentic AI คือเทคโนโลยีสำคัญที่ช่วยเปลี่ยนข้อมูลดิบ (Data) ที่กระจัดกระจาย ให้กลายเป็น กลยุทธ์ทางธุรกิจที่ชัดเจนและนำไปปฏิบัติได้จริง (Actionable Strategy) ช่วยเพิ่มความเร็ว ความแม่นยำ และประสิทธิภาพในการตัดสินใจเชิงธุรกิจได้อย่างมีนัยสำคัญ ที่มา : https://wisesight.com/ อ่านบทความเพิ่มเติมที่ :  https://www.itbtthai.com/category/itbt-activities/ เรียบเรียงโดย : ณฐพงศ์ กลัดพรหม

0
Read More

พลังงานนิวเคลียร์สำหรับโครงสร้างพื้นฐาน AI (Nuclear Power For AI Infrastructure)

การขยายตัวอย่างรวดเร็วของเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ได้สร้างความต้องการพลังงานไฟฟ้าในระดับที่ไม่เคยมีมาก่อน โครงสร้างพื้นฐาน AI ตั้งแต่การฝึกอบรมโมเดลภาษาขนาดใหญ่ (LLMs) ไปจนถึงการดำเนินงานของศูนย์ข้อมูล (Data Centers) ทั่วโลก ล้วนต้องการแหล่งพลังงานที่มั่นคงและต่อเนื่อง ในขณะที่องค์กรต่าง ๆ แสวงหาแนวทางที่ยั่งยืนและปราศจากคาร์บอน พลังงานนิวเคลียร์ได้กลายเป็นทางเลือกหลักที่มีศักยภาพสูงในการขับเคลื่อนโครงสร้างพื้นฐาน AI อย่างมีประสิทธิภาพและเชื่อถือได้ ความต้องการพลังงานของปัญญาประดิษฐ์ (AI) เพิ่มขึ้นแบบทวีคูณ โดยมีปัจจัยขับเคลื่อนหลัก ดังนี้ พลังงานนิวเคลียร์ในฐานะทางออกสำหรับ AI พลังงานนิวเคลียร์มีคุณสมบัติที่ตอบโจทย์ความต้องการเฉพาะของโครงสร้างพื้นฐาน AI ได้อย่างลงตัว การประยุกต์ใช้และนวัตกรรมที่เกี่ยวข้อง ความสัมพันธ์ระหว่าง AI และพลังงานนิวเคลียร์เป็นไปในลักษณะเกื้อกูลกัน (Synergistic) โดยมีแนวโน้มสำคัญดังนี้ ความท้าทายและข้อควรพิจารณา แม้ว่าพลังงานนิวเคลียร์จะมีศักยภาพสูง แต่ยังคงมีความท้าทายที่ต้องพิจารณา ดังนี้ บทสรุป ในยุคที่ AI กำลังเติบโตอย่างก้าวกระโดด พลังงานนิวเคลียร์นำเสนอทางออกที่เป็นรูปธรรมสำหรับความท้าทายด้านพลังงานที่ยั่งยืน ด้วยคุณสมบัติการจ่ายพลังงานที่ต่อเนื่อง ปราศจากคาร์บอน และมีความหนาแน่นสูง ประกอบกับนวัตกรรมอย่าง SMRs ที่ขับเคลื่อนด้วย AI ทำให้พลังงานนิวเคลียร์มีศักยภาพที่จะเป็นรากฐานสำคัญในการขับเคลื่อนโครงสร้างพื้นฐาน AI แห่งอนาคต ควบคู่ไปกับการบรรลุเป้าหมายด้านสภาพภูมิอากาศโลก ที่มา: https://technologicinnovation.com/ อ่านบทความเพิ่มเติมที่ :  https://www.itbtthai.com/category/itbt-activities/ เรียบเรียงโดย : ณฐพงศ์ กลัดพรหม

0
Read More

การยกระดับ Data Center สู่ยุคใหม่: การวิเคราะห์ความสำคัญของ Network Fabric ในฐานะโครงสร้างพื้นฐานหลักสำหรับ Cloud และ AI

การมาถึงของกระบวนทัศน์ (Paradigm) ด้าน Cloud Computing และภาระงาน (Workloads) ด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI) ได้เปลี่ยนแปลงรูปแบบการจราจรข้อมูล (Traffic Patterns) ภายใน Data Center อย่างมีนัยสำคัญ โดยเปลี่ยนจากรูปแบบ North-South (Client-to-Server) ไปสู่รูปแบบ East-West (Server-to-Server) ที่มีปริมาณมหาศาล สถาปัตยกรรมเครือข่ายแบบลำดับชั้น 3-Tier ดั้งเดิม (Traditional 3-Tier Architecture) ซึ่งมีข้อจำกัดด้านความหน่วงแฝง (Latency) และปัญหาคอขวด (Bottlenecks) ไม่สามารถตอบสนองความต้องการเหล่านี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ บทความนี้วิเคราะห์ว่า Network Fabric โดยเฉพาะอย่างยิ่งสถาปัตยกรรม Spine-Leaf ได้กลายเป็นองค์ประกอบพื้นฐานที่จำเป็น (Indispensable Component) หรือ “หัวใจ” (Core) ที่ขาดไม่ได้ ซึ่งมอบประสิทธิภาพ (Performance), ความสามารถในการขยายขนาด (Scalability) และความคล่องตัว (Agility) ที่จำเป็นต่อการปลดล็อกศักยภาพสูงสุดของสภาพแวดล้อม Cloud และ AI การเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัล (Digital Transformation) ได้ผลักดันให้องค์กรต่างๆ นำเทคโนโลยี Cloud (ทั้ง Private, Public และ Hybrid) และ Artificial Intelligence (AI) มาใช้เป็นแกนหลักในการดำเนินงาน เทคโนโลยีเหล่านี้มีคุณลักษณะร่วมกันคือ การประมวลผลแบบกระจาย (Distributed Computing) ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อโครงสร้างพื้นฐานเครือข่ายของ Data Center ในอดีต…

0
Read More

How to Use Network Observability เพื่อ Optimize Hybrid Cloud

ในภูมิทัศน์ของเทคโนโลยีสารสนเทศยุคปัจจุบัน องค์กรต่างๆ ได้ทรานส์ฟอร์มไปสู่โครงสร้างแบบ Hybrid Cloud และ Multi-Cloud เพื่อเพิ่มความคล่องตัวทางธุรกิจและลดค่าใช้จ่าย อย่างไรก็ตาม การบริหารจัดการเครือข่ายภายใต้สถาปัตยกรรมที่ซับซ้อนนี้ ก่อให้เกิดความท้าทายใหม่ๆ การพึ่งพาเครื่องมือ Network Monitoring แบบดั้งเดิม (เช่น การเช็ก Ping หรือ SNMP) ซึ่งเน้นที่การตรวจสอบสถานะ Up/Down ของอุปกรณ์เครือข่ายนั้นไม่เพียงพออีกต่อไป ไม่สามารถให้ข้อมูลเชิงลึกที่จำเป็นต่อการแก้ไขปัญหาประสิทธิภาพแอปพลิเคชันที่รวดเร็วได้ ด้วยเหตุนี้ แนวคิด “Network Observability” จึงได้กลายเป็นแนวทางที่สำคัญยิ่งขึ้นในการทำความเข้าใจพฤติกรรมของเครือข่ายอย่างครอบคลุม โดยเปลี่ยนจากการ “เฝ้าระวัง” (Monitoring) ไปสู่การ “ทำความเข้าใจเชิงลึก” (Deep Understanding) ผ่านข้อมูลที่สมบูรณ์แบบเพื่อ Optimize Hybrid Cloud ให้มีประสิทธิภาพสูงสุด บทความนี้จะเจาะลึกถึงหลักการของ Network Observability และวิธีนำมาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานของเครือข่ายในสภาพแวดล้อม Hybrid Cloud 1. Network Observability คืออะไร: Beyond Traditional Monitoring Network Observability คือความสามารถในการทำความเข้าใจสถานะภายในของระบบเครือข่าย โดยอาศัยการรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูล Telemetry จากทุกองค์ประกอบของเครือข่ายอย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบคำถามที่ซับซ้อนเกี่ยวกับประสิทธิภาพและพฤติกรรมของเครือข่ายอย่างรวดเร็วและแม่นยำ ความแตกต่างระหว่าง Monitoring และ Observability สามารถสรุปได้ดังนี้: 2. องค์ประกอบสำคัญของ Network Observability (The 3 Pillars) Network Observability อาศัยข้อมูล Telemetry 3 ประเภทหลัก ซึ่งเป็นรากฐานของการวิเคราะห์เชิงลึก:…

0
Read More

บทบาทของ Network ในการขับเคลื่อน Data Center ยุค Cloud

ในยุคดิจิทัลปัจจุบัน การดำเนินงานขององค์กรจำนวนมากอาศัยระบบ Cloud Computing เพื่อเพิ่มความคล่องตัวในการจัดการข้อมูลและลดค่าใช้จ่ายในการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานทางเทคโนโลยี การประมวลผลแบบคลาวด์ทำให้สามารถเข้าถึงทรัพยากรคอมพิวเตอร์ได้จากทุกที่ทุกเวลา อย่างไรก็ตาม การทำงานของระบบดังกล่าวขึ้นอยู่กับ “โครงสร้างเครือข่าย (Network Infrastructure)” ที่มีประสิทธิภาพและมีความเสถียรสูงดังนั้น Network จึงถือเป็นองค์ประกอบหลักที่ทำให้ Data Center สามารถให้บริการ Cloud ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งในด้านความเร็ว ความปลอดภัย และความต่อเนื่องในการให้บริการ บทบาทของ Network ต่อ Data Center ในยุค Cloud 1. การเชื่อมโยงและการรับส่งข้อมูลภายในศูนย์ข้อมูล ภายใน Data Center มีองค์ประกอบจำนวนมาก เช่น เซิร์ฟเวอร์ (Server), ระบบจัดเก็บข้อมูล (Storage), และอุปกรณ์รักษาความปลอดภัย (Security Device) ซึ่งต้องสื่อสารกันตลอดเวลา ระบบเครือข่ายจึงทำหน้าที่เป็นโครงสร้างหลักในการเชื่อมโยงและแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างองค์ประกอบเหล่านี้ หากเครือข่ายไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอ อาจส่งผลให้เกิดความล่าช้า (Latency) หรือการสูญหายของข้อมูล (Data Loss) ซึ่งกระทบต่อการทำงานของระบบ Cloud โดยตรง 2. การรองรับการขยายตัวของระบบ Cloud (Scalability) Cloud Computing มีลักษณะเด่นคือความสามารถในการขยายทรัพยากรแบบอัตโนมัติ (Auto-Scaling) เพื่อรองรับปริมาณผู้ใช้งานที่เพิ่มขึ้น เครือข่ายที่ดีจึงต้องสามารถปรับขนาด (Flexible Network Architecture) และรองรับการรับส่งข้อมูลที่เพิ่มขึ้นได้โดยไม่กระทบต่อประสิทธิภาพ เทคโนโลยี Software Defined Networking (SDN) จึงถูกนำมาใช้เพื่อให้สามารถบริหารจัดการและกำหนดนโยบายของเครือข่ายผ่านซอฟต์แวร์ได้อย่างยืดหยุ่น 3. การเชื่อมต่อระหว่าง Data Center และระบบ Cloud…

0
Read More

การบำรุงรักษาระบบสำรองไฟฟ้า (UPS) เพื่อความพร้อมใช้งานอย่างต่อเนื่อง

การบำรุงรักษาเชิงป้องกัน (Preventive Maintenance: PM) สำหรับระบบสำรองไฟฟ้า (UPS) เป็นกระบวนการที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อความมั่นคงของระบบไฟฟ้าในองค์กร ทั้งในโรงงาน อาคารสำนักงาน หรือศูนย์ข้อมูล การดูแลรักษาที่ถูกต้องและสม่ำเสมอจะช่วยยืดอายุการใช้งานของอุปกรณ์ ป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น และทำให้ระบบสำรองไฟสามารถทำงานได้เต็มประสิทธิภาพเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน ความสำคัญของการ PM ระบบ UPS ระบบสำรองไฟฟ้า (UPS – Uninterruptible Power Supply) เป็นอุปกรณ์สำคัญที่ช่วยจ่ายไฟสำรองโดยอัตโนมัติเมื่อเกิดเหตุไฟดับ ไฟตก หรือไฟกระชาก เพื่อป้องกันไม่ให้ระบบ IT ล่ม กระบวนการผลิตหยุดชะงัก หรืออุปกรณ์ทางการแพทย์ขาดพลังงานในเวลาวิกฤติ การละเลยการบำรุงรักษาอาจทำให้ UPS ไม่สามารถทำงานได้เมื่อถึงเวลาจำเป็น ซึ่งส่งผลให้เกิดความเสียหายทางธุรกิจอย่างร้ายแรง ขอบเขตการบำรุงรักษาเชิงป้องกัน การ PM UPS ที่มีประสิทธิภาพควรครอบคลุมทั้งระบบวงจรไฟฟ้าภายในตัวเครื่อง ระบบแบตเตอรี่ และซอฟต์แวร์ควบคุมการทำงาน โดยมีรายการตรวจสอบหลักที่ควรดำเนินการเป็นประจำ ดังนี้ ระบบแบตเตอรี่ (Battery Bank) ระบบชาร์จไฟ (Charging Circuit) วงจรควบคุมและหน้าจอแสดงผล ระบบพัดลมระบายความร้อน ระบบแจ้งเตือนและเสียงสัญญาณ (Alarm & Beep) ระบบสำรองไฟและเวลา Backup ข้อควรระวังเพิ่มเติมในการบำรุงรักษา แม้ว่าการ PM จะช่วยลดความเสี่ยงในการเสียหายของระบบได้มาก แต่ยังมีรายละเอียดสำคัญที่ควรให้ความใส่ใจเป็นพิเศษ ดังนี้ สรุป การบำรุงรักษาระบบสำรองไฟฟ้า UPS อย่างถูกต้องและสม่ำเสมอ เป็นหัวใจสำคัญในการรักษาความต่อเนื่องของระบบไฟฟ้าในองค์กร การดำเนินการ PM ตามแผนที่ชัดเจนและครอบคลุม จะช่วยยืดอายุการใช้งาน ลดความเสี่ยงจากเหตุไฟฟ้าขัดข้อง และทำให้ UPS พร้อมใช้งานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพในทุกสถานการณ์ อ่านบทความเต็มได้ที่ : https://np-eng.co.th/blog/how-to-keep-ups-ready-all-time-by-preventive-maintenance/อ่านบทความเพิ่มเติมได้ที่ : https://www.itbtthai.com/category/itbt-activities/เรียงเรียงโดย…

0
Read More

5 เหตุผลที่ธุรกิจยุคใหม่ต้องมีทีม IT Support มืออาชีพดูแลระบบไอที

ในยุคที่ธุรกิจทุกประเภทต้องพึ่งพาเทคโนโลยี ไม่ว่าจะเป็นระบบขายออนไลน์ ฐานข้อมูลลูกค้า หรือโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลเบื้องหลัง การทำงานของระบบไอทีจึงกลายเป็น “หัวใจหลัก” ที่ขับเคลื่อนองค์กรให้เดินหน้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ในขณะเดียวกัน ความซับซ้อนของระบบไอทีก็เพิ่มขึ้นทุกวัน ทั้งจากเทคโนโลยีใหม่อย่าง Cloud, AI, IoT รวมถึงภัยคุกคามทางไซเบอร์ที่แฝงตัวอยู่ตลอดเวลา การมี ทีม IT Support มืออาชีพ ที่พร้อมดูแลและแก้ไขปัญหาอย่างรวดเร็ว จึงไม่ใช่เพียง “ความสะดวก” แต่เป็น “ความจำเป็น” ของธุรกิจยุคใหม่ที่ต้องการความมั่นคง ปลอดภัย และต่อเนื่องในการดำเนินงาน ดังนั้น เพื่อให้เข้าใจว่าทำไม IT Support จึงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับองค์กรยุคใหม่ เรามาดูกันว่า 5 เหตุผลสำคัญอะไรบ้างที่ธุรกิจไม่ควรมองข้ามการลงทุนในทีมไอทีมืออาชีพ 1. ลดความเสี่ยงในการหยุดชะงักของธุรกิจ ธุรกิจส่วนใหญ่ในปัจจุบันพึ่งพาระบบดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ ตั้งแต่การขาย การผลิต ไปจนถึงการสื่อสารภายในองค์กร ปัญหาระบบล่มแม้เพียงไม่กี่ชั่วโมงอาจสร้างความเสียหายทั้งด้านรายได้และความเชื่อมั่นจากลูกค้าทีม IT Support มืออาชีพสามารถตรวจจับปัญหาล่วงหน้า วางระบบสำรอง และจัดการแก้ไขได้อย่างรวดเร็ว ลดผลกระทบและเวลา downtime ให้น้อยที่สุด 2. เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของพนักงาน ปัญหาทางเทคนิค เช่น คอมพิวเตอร์ค้าง อินเทอร์เน็ตช้า หรือระบบ ERP ขัดข้อง มักทำให้พนักงานต้องหยุดงานชั่วคราว การมีทีม support ที่ตอบสนองรวดเร็ว ช่วยให้พนักงานกลับมาทำงานได้โดยไม่ต้องรอนานนอกจากนี้ ทีม IT Support ยังสามารถจัดการระบบให้ทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ เช่น ปรับปรุง network, ปรับแต่งซอฟต์แวร์ และดูแลเครื่องมือที่ใช้ในองค์กรให้พร้อมใช้งานเสมอ 3. ปกป้องข้อมูลและระบบจากภัยคุกคามทางไซเบอร์ ในยุคที่ข้อมูลเป็นสินทรัพย์สำคัญขององค์กร ภัยคุกคามอย่างแรนซัมแวร์ ฟิชชิง หรือมัลแวร์เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ทีม IT…

0
Read More

การตั้งค่า Firewall Policy และ Access Control อย่างไรให้ปลอดภัย?

การบริหารจัดการ Firewall และ Access Control เป็นองค์ประกอบสำคัญในการรักษาความมั่นคงปลอดภัยของระบบเครือข่ายและโครงสร้างพื้นฐานด้าน IT ขององค์กร การกำหนดนโยบายที่ชัดเจนและการควบคุมสิทธิ์การเข้าถึงอย่างเหมาะสมสามารถลดความเสี่ยงจากภัยคุกคามภายนอกและภายในได้อย่างมีประสิทธิภาพ แนวทางการตั้งค่า Firewall Policy การตั้งค่า Firewall Policy ควรยึดหลัก “ปฏิเสธโดยค่าเริ่มต้น” (Default Deny) ซึ่งหมายถึงการบล็อกการเชื่อมต่อทั้งหมดก่อน แล้วจึงอนุญาตเฉพาะการเชื่อมต่อที่จำเป็นเท่านั้น โดยมีแนวทางดังต่อไปนี้ แนวทางการตั้งค่า Access Control การควบคุมสิทธิ์การเข้าถึงระบบควรดำเนินการตามหลักการ “สิทธิ์น้อยที่สุด” (Least Privilege) และ “การควบคุมตามบทบาท” (Role-Based Access Control: RBAC) เพื่อป้องกันการเข้าถึงโดยไม่ได้รับอนุญาต โดยมีแนวทางดังนี้ เครื่องมือที่แนะนำ การตั้งค่า Firewall Policy และ Access Control อย่างปลอดภัยสามารถดำเนินการผ่านเครื่องมือและระบบที่หลากหลาย เช่น ข้อควรระวังและแนวทางการตรวจสอบ การตั้งค่า Firewall Policy และ Access Control อย่างปลอดภัยไม่ใช่เพียงการกำหนดกฎเท่านั้น แต่เป็นกระบวนการที่ต้องอาศัยความเข้าใจในโครงสร้างเครือข่าย ความเสี่ยง และพฤติกรรมของผู้ใช้งาน เพื่อสร้างระบบที่มั่นคงปลอดภัยและสามารถรองรับการเติบโตขององค์กรได้อย่างยั่งยืน อ่านบทความเพิ่มเติมที่ :  https://www.itbtthai.com/category/itbt-activities/ เรียบเรียงโดย : จิราพร เผื่อแผ่

0
Read More

IDS/IPS แตกต่างกันยังไง? ระบบตรวจจับภัยในเครือข่าย

ในยุคที่ภัยคุกคามทางไซเบอร์มีความซับซ้อนและเกิดขึ้นตลอดเวลา การรักษาความปลอดภัยของระบบเครือข่ายจึงไม่ใช่แค่การ “ป้องกัน” แต่ต้อง “ตรวจจับและตอบสนอง” ได้อย่างทันท่วงที หนึ่งในเครื่องมือสำคัญของการรักษาความปลอดภัยเครือข่ายก็คือ IDS (Intrusion Detection System) และ IPS (Intrusion Prevention System) ซึ่งแม้ชื่อจะคล้ายกัน แต่บทบาทและหน้าที่กลับแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ IDS (Intrusion Detection System) คืออะไร? IDS คือ “ระบบตรวจจับการบุกรุก” (Intrusion Detection System) ทำหน้าที่ เฝ้าระวังและตรวจสอบทราฟฟิกในเครือข่าย เพื่อหาพฤติกรรมที่น่าสงสัยหรือผิดปกติ เช่น เมื่อ IDS ตรวจพบความผิดปกติ มันจะ แจ้งเตือน (Alert) ไปยังผู้ดูแลระบบ เพื่อให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบและดำเนินการต่อไป เปรียบเทียบให้เห็นภาพ: IDS ทำหน้าที่เหมือน “ยามเฝ้าประตู” ที่คอยจับตาความเคลื่อนไหว และแจ้งเตือนเมื่อพบสิ่งผิดปกติ แต่ไม่สามารถหยุดผู้บุกรุกได้เอง IPS (Intrusion Prevention System) คืออะไร? IPS หรือ “ระบบป้องกันการบุกรุก” (Intrusion Prevention System) เป็นระบบที่พัฒนามาจาก IDS โดยนอกจากตรวจจับภัยแล้ว ยังสามารถ ตอบสนองและป้องกันการโจมตีได้โดยอัตโนมัติ เช่น IPS มักถูกติดตั้ง แบบ Inline (อยู่ในเส้นทางของข้อมูลจริง) เพื่อให้สามารถสกัดกั้นภัยได้ทันที เปรียบเทียบให้เห็นภาพ : IPS คือ “ยามรักษาความปลอดภัยพร้อมอาวุธ” ที่ไม่เพียงแต่รายงาน แต่ยังสามารถจัดการผู้บุกรุกได้ทันที สรุปความแตกต่างระหว่าง IDS…

0
Read More
Contact Us

บริษัท ไอ ที บี ที คอร์ปอเรชั่น จำกัด
ที่อยู่ : 170/372 หมู่ 1 ตำบลบางคูวัด
อำเภอเมืองปทุมธานี จังหวัดปทุมธานี 12000
Tel/Fax : 02-1014461
Hotline 24 ชม. : 091-7598087
Email 1 : service@itbtthai.com
Email 2 : itbtthai@gmail.com
Line ID : @itbtthai (มี @ ด้านหน้า)
Fanpage : ITBT Technology Solutions System

office hours

วันทำการ : จันทร์ – ศุกร์
(เว้นวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ และนักขัตฤกษ์)
เวลาทำการ : 08:30 – 17:30 น.

DBD Registered

Copyright 2020 © ITBT Corporation Co., Ltd. All Rights Reserved.

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save