Network

WiFi 7 ก้าวใหม่ของอินเทอร์เน็ตไร้สาย สู่ความเร็ว 46 Gbps และความหน่วงที่ต่ำลง

ปฏิเสธไม่ได้ว่าความต้องการอินเทอร์เน็ตที่เร็วและแรงไม่มีวันหยุดนิ่ง จากที่เคยรู้สึกว่า WiFi 6 เร็วแล้ว กำลังจะมีมาตรฐานใหม่ที่เข้ามากระโดดข้ามขีดจำกัดเดิม ๆ นั่นคือ WiFi 7 หรือที่เรียกกันในชื่อทางเทคนิคว่า IEEE 802.11be Extremely High Throughput (EHT) นี่คือเทคโนโลยีที่ถูกออกแบบมาเพื่อแก้ไขปัญหาความแออัดของสัญญาณ การบัฟเฟอร์ และความล่าช้า ที่เป็นอุปสรรคต่อการใช้ชีวิตดิจิทัลขั้นสูง ไม่ว่าจะเป็นเกม VR, สตรีมมิง 8K หรือการทำงานผ่านคลาวด์ WiFi 7 คือคำตอบที่จะทำให้ประสบการณ์ออนไลน์ของคุณ “ราบรื่นอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน” WiFi 7 แตกต่างจากรุ่นก่อนอย่างไร ? แม้ว่า WiFi 6 จะให้ความเร็วมากขึ้นถึง 37% จาก WiFi รุ่นก่อน แต่ก็ไม่ได้มีการปรับปรุงเรื่องความเร็วในการรับส่งข้อมูลเพิ่มมากขึ้นแบบก้าวกระโดดเหมือน WiFi 5 ที่มีการพัฒนาความเร็วจากรุ่นก่อนถึง 10 เท่า ซึ่งเป้าหมายในการพัฒาเทคโนโลยี WiFi 6 นั้นเน้นเรื่องการปรับปรุงประสิทธิภาพในการใช้งานมากกว่าความเร็วในการรับส่งข้อมูล แต่สำหรับเทคโนโลยี WiFi 7 นั้น ได้มีการออกแบบเพื่อปรับปรุงการรับส่งข้อมูลที่มากขึ้น หัวใจสำคัญที่ทำให้ WiFi 7 เร็วกว่า ความเร็วระดับ 46 Gbps ไม่ได้มาจากการอัปเกรดเล็กน้อย แต่มาจากเทคโนโลยีใหม่ 4 อย่างที่เป็นเสาหลักของ WiFi 7 WiFi 7 มอบประสบการณ์อะไรให้คุณ ? WiFi 7 ไม่ได้มีดีแค่ความเร็ว แต่ยังมอบประสบการณ์การใช้งานที่เหนือกว่าในทุกมิติ ใครที่ควรพิจารณาเปลี่ยนไปใช้ WiFi 7…

0
Read More

การยกระดับ Data Center สู่ยุคใหม่: การวิเคราะห์ความสำคัญของ Network Fabric ในฐานะโครงสร้างพื้นฐานหลักสำหรับ Cloud และ AI

การมาถึงของกระบวนทัศน์ (Paradigm) ด้าน Cloud Computing และภาระงาน (Workloads) ด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI) ได้เปลี่ยนแปลงรูปแบบการจราจรข้อมูล (Traffic Patterns) ภายใน Data Center อย่างมีนัยสำคัญ โดยเปลี่ยนจากรูปแบบ North-South (Client-to-Server) ไปสู่รูปแบบ East-West (Server-to-Server) ที่มีปริมาณมหาศาล สถาปัตยกรรมเครือข่ายแบบลำดับชั้น 3-Tier ดั้งเดิม (Traditional 3-Tier Architecture) ซึ่งมีข้อจำกัดด้านความหน่วงแฝง (Latency) และปัญหาคอขวด (Bottlenecks) ไม่สามารถตอบสนองความต้องการเหล่านี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ บทความนี้วิเคราะห์ว่า Network Fabric โดยเฉพาะอย่างยิ่งสถาปัตยกรรม Spine-Leaf ได้กลายเป็นองค์ประกอบพื้นฐานที่จำเป็น (Indispensable Component) หรือ “หัวใจ” (Core) ที่ขาดไม่ได้ ซึ่งมอบประสิทธิภาพ (Performance), ความสามารถในการขยายขนาด (Scalability) และความคล่องตัว (Agility) ที่จำเป็นต่อการปลดล็อกศักยภาพสูงสุดของสภาพแวดล้อม Cloud และ AI การเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัล (Digital Transformation) ได้ผลักดันให้องค์กรต่างๆ นำเทคโนโลยี Cloud (ทั้ง Private, Public และ Hybrid) และ Artificial Intelligence (AI) มาใช้เป็นแกนหลักในการดำเนินงาน เทคโนโลยีเหล่านี้มีคุณลักษณะร่วมกันคือ การประมวลผลแบบกระจาย (Distributed Computing) ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อโครงสร้างพื้นฐานเครือข่ายของ Data Center ในอดีต…

0
Read More

How to Use Network Observability เพื่อ Optimize Hybrid Cloud

ในภูมิทัศน์ของเทคโนโลยีสารสนเทศยุคปัจจุบัน องค์กรต่างๆ ได้ทรานส์ฟอร์มไปสู่โครงสร้างแบบ Hybrid Cloud และ Multi-Cloud เพื่อเพิ่มความคล่องตัวทางธุรกิจและลดค่าใช้จ่าย อย่างไรก็ตาม การบริหารจัดการเครือข่ายภายใต้สถาปัตยกรรมที่ซับซ้อนนี้ ก่อให้เกิดความท้าทายใหม่ๆ การพึ่งพาเครื่องมือ Network Monitoring แบบดั้งเดิม (เช่น การเช็ก Ping หรือ SNMP) ซึ่งเน้นที่การตรวจสอบสถานะ Up/Down ของอุปกรณ์เครือข่ายนั้นไม่เพียงพออีกต่อไป ไม่สามารถให้ข้อมูลเชิงลึกที่จำเป็นต่อการแก้ไขปัญหาประสิทธิภาพแอปพลิเคชันที่รวดเร็วได้ ด้วยเหตุนี้ แนวคิด “Network Observability” จึงได้กลายเป็นแนวทางที่สำคัญยิ่งขึ้นในการทำความเข้าใจพฤติกรรมของเครือข่ายอย่างครอบคลุม โดยเปลี่ยนจากการ “เฝ้าระวัง” (Monitoring) ไปสู่การ “ทำความเข้าใจเชิงลึก” (Deep Understanding) ผ่านข้อมูลที่สมบูรณ์แบบเพื่อ Optimize Hybrid Cloud ให้มีประสิทธิภาพสูงสุด บทความนี้จะเจาะลึกถึงหลักการของ Network Observability และวิธีนำมาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานของเครือข่ายในสภาพแวดล้อม Hybrid Cloud 1. Network Observability คืออะไร: Beyond Traditional Monitoring Network Observability คือความสามารถในการทำความเข้าใจสถานะภายในของระบบเครือข่าย โดยอาศัยการรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูล Telemetry จากทุกองค์ประกอบของเครือข่ายอย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบคำถามที่ซับซ้อนเกี่ยวกับประสิทธิภาพและพฤติกรรมของเครือข่ายอย่างรวดเร็วและแม่นยำ ความแตกต่างระหว่าง Monitoring และ Observability สามารถสรุปได้ดังนี้: 2. องค์ประกอบสำคัญของ Network Observability (The 3 Pillars) Network Observability อาศัยข้อมูล Telemetry 3 ประเภทหลัก ซึ่งเป็นรากฐานของการวิเคราะห์เชิงลึก:…

0
Read More

บทบาทของ Network ในการขับเคลื่อน Data Center ยุค Cloud

ในยุคดิจิทัลปัจจุบัน การดำเนินงานขององค์กรจำนวนมากอาศัยระบบ Cloud Computing เพื่อเพิ่มความคล่องตัวในการจัดการข้อมูลและลดค่าใช้จ่ายในการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานทางเทคโนโลยี การประมวลผลแบบคลาวด์ทำให้สามารถเข้าถึงทรัพยากรคอมพิวเตอร์ได้จากทุกที่ทุกเวลา อย่างไรก็ตาม การทำงานของระบบดังกล่าวขึ้นอยู่กับ “โครงสร้างเครือข่าย (Network Infrastructure)” ที่มีประสิทธิภาพและมีความเสถียรสูงดังนั้น Network จึงถือเป็นองค์ประกอบหลักที่ทำให้ Data Center สามารถให้บริการ Cloud ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งในด้านความเร็ว ความปลอดภัย และความต่อเนื่องในการให้บริการ บทบาทของ Network ต่อ Data Center ในยุค Cloud 1. การเชื่อมโยงและการรับส่งข้อมูลภายในศูนย์ข้อมูล ภายใน Data Center มีองค์ประกอบจำนวนมาก เช่น เซิร์ฟเวอร์ (Server), ระบบจัดเก็บข้อมูล (Storage), และอุปกรณ์รักษาความปลอดภัย (Security Device) ซึ่งต้องสื่อสารกันตลอดเวลา ระบบเครือข่ายจึงทำหน้าที่เป็นโครงสร้างหลักในการเชื่อมโยงและแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างองค์ประกอบเหล่านี้ หากเครือข่ายไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอ อาจส่งผลให้เกิดความล่าช้า (Latency) หรือการสูญหายของข้อมูล (Data Loss) ซึ่งกระทบต่อการทำงานของระบบ Cloud โดยตรง 2. การรองรับการขยายตัวของระบบ Cloud (Scalability) Cloud Computing มีลักษณะเด่นคือความสามารถในการขยายทรัพยากรแบบอัตโนมัติ (Auto-Scaling) เพื่อรองรับปริมาณผู้ใช้งานที่เพิ่มขึ้น เครือข่ายที่ดีจึงต้องสามารถปรับขนาด (Flexible Network Architecture) และรองรับการรับส่งข้อมูลที่เพิ่มขึ้นได้โดยไม่กระทบต่อประสิทธิภาพ เทคโนโลยี Software Defined Networking (SDN) จึงถูกนำมาใช้เพื่อให้สามารถบริหารจัดการและกำหนดนโยบายของเครือข่ายผ่านซอฟต์แวร์ได้อย่างยืดหยุ่น 3. การเชื่อมต่อระหว่าง Data Center และระบบ Cloud…

0
Read More

การตั้งค่า Firewall Policy และ Access Control อย่างไรให้ปลอดภัย?

การบริหารจัดการ Firewall และ Access Control เป็นองค์ประกอบสำคัญในการรักษาความมั่นคงปลอดภัยของระบบเครือข่ายและโครงสร้างพื้นฐานด้าน IT ขององค์กร การกำหนดนโยบายที่ชัดเจนและการควบคุมสิทธิ์การเข้าถึงอย่างเหมาะสมสามารถลดความเสี่ยงจากภัยคุกคามภายนอกและภายในได้อย่างมีประสิทธิภาพ แนวทางการตั้งค่า Firewall Policy การตั้งค่า Firewall Policy ควรยึดหลัก “ปฏิเสธโดยค่าเริ่มต้น” (Default Deny) ซึ่งหมายถึงการบล็อกการเชื่อมต่อทั้งหมดก่อน แล้วจึงอนุญาตเฉพาะการเชื่อมต่อที่จำเป็นเท่านั้น โดยมีแนวทางดังต่อไปนี้ แนวทางการตั้งค่า Access Control การควบคุมสิทธิ์การเข้าถึงระบบควรดำเนินการตามหลักการ “สิทธิ์น้อยที่สุด” (Least Privilege) และ “การควบคุมตามบทบาท” (Role-Based Access Control: RBAC) เพื่อป้องกันการเข้าถึงโดยไม่ได้รับอนุญาต โดยมีแนวทางดังนี้ เครื่องมือที่แนะนำ การตั้งค่า Firewall Policy และ Access Control อย่างปลอดภัยสามารถดำเนินการผ่านเครื่องมือและระบบที่หลากหลาย เช่น ข้อควรระวังและแนวทางการตรวจสอบ การตั้งค่า Firewall Policy และ Access Control อย่างปลอดภัยไม่ใช่เพียงการกำหนดกฎเท่านั้น แต่เป็นกระบวนการที่ต้องอาศัยความเข้าใจในโครงสร้างเครือข่าย ความเสี่ยง และพฤติกรรมของผู้ใช้งาน เพื่อสร้างระบบที่มั่นคงปลอดภัยและสามารถรองรับการเติบโตขององค์กรได้อย่างยั่งยืน อ่านบทความเพิ่มเติมที่ :  https://www.itbtthai.com/category/itbt-activities/ เรียบเรียงโดย : จิราพร เผื่อแผ่

0
Read More

IDS/IPS แตกต่างกันยังไง? ระบบตรวจจับภัยในเครือข่าย

ในยุคที่ภัยคุกคามทางไซเบอร์มีความซับซ้อนและเกิดขึ้นตลอดเวลา การรักษาความปลอดภัยของระบบเครือข่ายจึงไม่ใช่แค่การ “ป้องกัน” แต่ต้อง “ตรวจจับและตอบสนอง” ได้อย่างทันท่วงที หนึ่งในเครื่องมือสำคัญของการรักษาความปลอดภัยเครือข่ายก็คือ IDS (Intrusion Detection System) และ IPS (Intrusion Prevention System) ซึ่งแม้ชื่อจะคล้ายกัน แต่บทบาทและหน้าที่กลับแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ IDS (Intrusion Detection System) คืออะไร? IDS คือ “ระบบตรวจจับการบุกรุก” (Intrusion Detection System) ทำหน้าที่ เฝ้าระวังและตรวจสอบทราฟฟิกในเครือข่าย เพื่อหาพฤติกรรมที่น่าสงสัยหรือผิดปกติ เช่น เมื่อ IDS ตรวจพบความผิดปกติ มันจะ แจ้งเตือน (Alert) ไปยังผู้ดูแลระบบ เพื่อให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบและดำเนินการต่อไป เปรียบเทียบให้เห็นภาพ: IDS ทำหน้าที่เหมือน “ยามเฝ้าประตู” ที่คอยจับตาความเคลื่อนไหว และแจ้งเตือนเมื่อพบสิ่งผิดปกติ แต่ไม่สามารถหยุดผู้บุกรุกได้เอง IPS (Intrusion Prevention System) คืออะไร? IPS หรือ “ระบบป้องกันการบุกรุก” (Intrusion Prevention System) เป็นระบบที่พัฒนามาจาก IDS โดยนอกจากตรวจจับภัยแล้ว ยังสามารถ ตอบสนองและป้องกันการโจมตีได้โดยอัตโนมัติ เช่น IPS มักถูกติดตั้ง แบบ Inline (อยู่ในเส้นทางของข้อมูลจริง) เพื่อให้สามารถสกัดกั้นภัยได้ทันที เปรียบเทียบให้เห็นภาพ : IPS คือ “ยามรักษาความปลอดภัยพร้อมอาวุธ” ที่ไม่เพียงแต่รายงาน แต่ยังสามารถจัดการผู้บุกรุกได้ทันที สรุปความแตกต่างระหว่าง IDS…

0
Read More

Zero Trust Network: ความปลอดภัยแบบใหม่ที่ทุกองค์กรควรรู้

ในสภาพแวดล้อมดิจิทัลปัจจุบัน องค์กรต่างๆ ต้องเผชิญกับภัยคุกคามทางไซเบอร์ที่ซับซ้อนมากขึ้น ทั้งจากผู้ไม่หวังดีภายนอกและความเสี่ยงภายในองค์กรเอง โมเดลการรักษาความปลอดภัยแบบดั้งเดิมซึ่งอาศัยการสร้าง “ขอบเขตเครือข่าย” (Perimeter Security) และเชื่อว่าทุกสิ่งภายในเครือข่ายสามารถเชื่อถือได้ (Trust but Verify) จึงไม่เพียงพออีกต่อไป แนวคิด Zero Trust Network หรือ Zero Trust Security จึงเกิดขึ้น โดยมีหลักการสำคัญคือ “Never Trust, Always Verify” หมายถึง ไม่เชื่อถือผู้ใช้หรืออุปกรณ์ใดโดยอัตโนมัติ ไม่ว่าจะอยู่ภายในหรือนอกเครือข่ายองค์กรก็ตาม หลักการของ Zero Trust โมเดล Zero Trust อาศัยองค์ประกอบสำคัญดังนี้ ข้อดีของการประยุกต์ใช้ Zero Trust ตัวอย่างการนำไปใช้ในองค์กร สรุป Zero Trust Network เป็นแนวทางด้านความปลอดภัยที่เหมาะสมกับยุคที่เครือข่ายไร้ขอบเขตและเต็มไปด้วยความเสี่ยงจากทั้งภายนอกและภายใน องค์กรที่นำแนวคิดนี้ไปประยุกต์ใช้ จะสามารถยกระดับการป้องกันภัยไซเบอร์ ลดผลกระทบจากการโจมตี และสร้างความมั่นใจในการดำเนินธุรกิจได้อย่างยั่งยืน อ่านบทความเพิ่มเติมที่ :  https://www.itbtthai.com/category/itbt-activities/ เรียบเรียงโดย : อลิตา จันทร์เพ็ชร

0
Read More

VLAN คืออะไร? ทำไมถึงสำคัญกับเครือข่ายยุคใหม่

ทุกวันนี้เราเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตแทบตลอดเวลา ไม่ว่าจะผ่าน Wi-Fi ในที่ทำงาน โรงเรียน มหาวิทยาลัย หรือร้านกาแฟ แต่เคยสงสัยกันไหมว่าในเครือข่ายที่มีผู้ใช้นับร้อยนับพันพร้อมกัน ทำไมระบบถึงยังทำงานได้เป็นระเบียบ ปลอดภัย และไม่มั่วกันไปหมด? หนึ่งในเทคโนโลยีเบื้องหลังความเป็นระเบียบนั้นก็คือ VLAN (Virtual LAN) VLAN คืออะไร? VLAN ย่อมาจาก Virtual Local Area Network หรือ “เครือข่ายท้องถิ่นเสมือน” พูดง่าย ๆ มันคือ การแบ่งเครือข่ายใหญ่ให้เป็นเครือข่ายย่อย ๆ โดยไม่ต้องไปซื้ออุปกรณ์เพิ่มหรือต่อสายแยกใหม่ ลองจินตนาการง่าย ๆ แต่เมื่อใช้ VLAN ก็เหมือน สร้างถนนเส้นย่อยขึ้นมาในเครือข่ายเดียวกัน ข้อมูลของแต่ละฝ่ายจะถูกแยกไปตามเส้นทางของตัวเอง ไม่ปะปนกัน → ได้ทั้งความปลอดภัย ความเร็ว และการจัดการที่ง่ายขึ้น ทำไมต้องใช้ VLAN? ถ้าลองมองในชีวิตจริง เราจะเห็นประโยชน์ของ VLAN ได้ชัดเจนขึ้น เช่น ตัวอย่างการใช้ VLAN ใกล้ตัว VLAN ทำงานอย่างไร ? จริงๆ แล้ว VLAN ทำงานอยู่บนอุปกรณ์เครือข่าย เช่น Switch หรือ Router ซึ่งจะกำหนดว่า “พอร์ตไหนอยู่ VLAN ไหน” หรือ “Wi-Fi SSID ไหนอยู่ใน VLAN ไหน” ยกตัวอย่างเช่น ถึงแม้ทุกอย่างจะต่อเข้ามาที่ Switch หรือ Access Point…

0
Read More

Server Virtualization และ Containerization หัวใจของ Infrastructure สมัยใหม่

ในยุคดิจิทัลที่ธุรกิจต้องการความเร็ว ความยืดหยุ่น และการปรับขยายระบบได้อย่างรวดเร็ว การจัดการ Infrastructure แบบดั้งเดิมที่ใช้ Physical Server เพียงอย่างเดียวไม่เพียงพออีกต่อไป เทคโนโลยี Virtualization และ Containerization จึงเข้ามามีบทบาทสำคัญในการยกระดับการทำงานของ Data Center และ Cloud Server Virtualization คืออะไร? Server Virtualization คือการแบ่งทรัพยากรของ Physical Server (เครื่องจริง) ออกเป็น Virtual Machine (VM) หลาย ๆ เครื่อง โดยแต่ละ VM สามารถทำงานเป็นเซิร์ฟเวอร์อิสระ มี OS, Application และ Resource ของตัวเอง 🔹 จุดเด่นของ Virtualization เครื่องมือยอดนิยม : VMware vSphere, Microsoft Hyper-V, KVM Containerization คืออะไร? Containerization เป็นการนำ Application และ Dependencies (Library, Runtime) ใส่ไว้ใน Container ที่สามารถรันได้ทุกที่ โดยไม่ต้องสร้าง OS แยกเหมือน VM 🔹 จุดเด่นของ Containerization เครื่องมือยอดนิยม: Docker, Kubernetes, OpenShift ความแตกต่างระหว่าง Virtualization และ Containerization…

0
Read More

Network Topology คืออะไร? ทำความรู้จักรูปแบบการเชื่อมต่อเครือข่ายที่คุณควรรู้

เมื่อพูดถึงการสร้างระบบเครือข่าย สิ่งหนึ่งที่ขาดไม่ได้คือ Topology (โทโพโลยีเครือข่าย) หรือ “รูปแบบการเชื่อมต่อ” ของอุปกรณ์ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นคอมพิวเตอร์ สวิตช์ เราเตอร์ หรืออุปกรณ์เครือข่ายอื่น ๆ เพราะ Topology มีผลต่อความเร็ว ความเสถียร ความน่าเชื่อถือ และต้นทุนของระบบโดยตรง Topology แบ่งออกเป็น 2 มิติหลัก ๆ ได้แก่ การเข้าใจและเลือกใช้ Topology ที่เหมาะสมจึงเป็นพื้นฐานสำคัญในการออกแบบเครือข่ายให้มีประสิทธิภาพ ประเภทของ Network Topology 1. Bus Topology การเชื่อมต่ออุปกรณ์ทุกตัวเข้ากับสายหลักเส้นเดียว (Backbone) 2. Star Topology ทุกอุปกรณ์เชื่อมต่อเข้ากับอุปกรณ์กลาง เช่น สวิตช์หรือฮับ 3. Ring Topology อุปกรณ์ถูกเชื่อมต่อเป็นวงแหวน ข้อมูลวิ่งวนไปทีละเครื่อง 4. Mesh Topology ทุกอุปกรณ์เชื่อมต่อกันโดยตรง (Full Mesh) หรือบางส่วน (Partial Mesh) 5. Tree Topology (Hierarchical) โครงสร้างแบบลำดับชั้น คล้ายต้นไม้ ผสมผสาน Star หลายระดับ 6. Hybrid Topology การผสมผสานหลายรูปแบบ เช่น Star-Bus หรือ Star-Ring บทสรุป ในปัจจุบัน Star Topology เป็นรูปแบบที่นิยมใช้มากที่สุด โดยเฉพาะในเครือข่าย LAN…

0
Read More
Contact Us

บริษัท ไอ ที บี ที คอร์ปอเรชั่น จำกัด
ที่อยู่ : 170/372 หมู่ 1 ตำบลบางคูวัด
อำเภอเมืองปทุมธานี จังหวัดปทุมธานี 12000
Tel/Fax : 02-1014461
Hotline 24 ชม. : 091-7598087
Email 1 : service@itbtthai.com
Email 2 : itbtthai@gmail.com
Line ID : @itbtthai (มี @ ด้านหน้า)
Fanpage : ITBT Technology Solutions System

office hours

วันทำการ : จันทร์ – ศุกร์
(เว้นวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ และนักขัตฤกษ์)
เวลาทำการ : 08:30 – 17:30 น.

DBD Registered

Copyright 2020 © ITBT Corporation Co., Ltd. All Rights Reserved.

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save